วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมวันวิสาขบูชา




เดินไป เที่ยวไป ทำดีไ 
กิจกรรมวันวิสาขบูชา 
     วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และปรินิพพาน
      เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ2554 ที่ผ่านมาตัวของแพรและสมาชิก ชมรม ศิลปะมหาวชิราวุธ พร้อมทั้งประชาชนทั่วไปได้เข้าร่วมกิจกรรม วันวิสาขบูชา ณ พระเจดีย์หลวงบนยอดเข้าตังกวนโดย มีท่าน ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานในพิธี ซึ่งกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อสืบประเพณีปฏิบัติในวันวิสาขบูชาและเป็นการเถิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งภายในพิธีมีกิจกรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มากมายเริ่มตั้งแต่การสวดมนต์ การทำสมาธิ และ การฟังเทศฟังธรรมเกี่ยวกับความเป็นมาของวันวิสาขบูชา จากพระสงฆ์และสุดท้ายมีการเดินเวียนเทียนรอบฐานพระเจดีย์
     นอกจากการเข้าร่วนพิธีกรรมทางศาสนาในวันวิสาขบูชาแล้วระหว่างการเดินทางไปยังเข้าตังกวนจนกลับถึง รร. เราได้บำเพ็ญประโยชน์โดยการเก็บขยะตามเส้นทางที่เดินผ่านโดยเริ่มเดินทางจาก รร.มหาวชิราวุธ  ถ.สะเดา  หาดสมิหลา และหลังจากทำพิธีเสร็จพวกเราได้ถ่ายรูปบรรยากาศบนยอดเข้าตังกวนที่สวยงาม
                                                                                                                              By  แพร



เก็บมาฝากอันนี้เขาถ่ายเอง


++

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)
        ในฐานะที่แพรเป็นนักเรียนรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ในพระอุปถัมภ์ฯ  โรงเรียนของแพรแห่งเป็นโรงเรียนที่ถือกำเนิดมาได้เพราะ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)ที่ท่านได้ก่อสร้างโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมาจึงอยากศึกษาชีวประวัตและเรื่องราวในชีวิตของท่านข้อมูลที่จะได้รับทราบต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจาการค้นทางอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ
        มหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) (15 กรกฎาคม พ.ศ. 2405 - 30 ธันวาคม พ.ศ. 2481) อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล อภิรัฐมนตรี เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ เสนาบดีกระทรวงนครบาล ทั้งยังเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง การประปานครหลวง การไฟฟ้ามหานคร ถนนและสะพานในกรุงเทพมหานครอีกด้วย
       เจ้าพระยายามราช (ปั้น สุขุม) เป็นชาวเมืองสุพรรณบุรี เกิดเมื่อวันอังคารที่ 15 กรกฎาคม ปีจอ พ.ศ. 2405 สกุลเป็นคหบดี ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ บ้านน้ำตก ริมแม่น้ำฟากตะวันออกข้างใต้ตัวเมืองสุพรรณบุรี บิดาชื่อกลั่น มารดาชื่อผึ้ง มีพี่น้องร่วมมารดา 5 คน ตามลำดับดังนี้
  • ฉาย (พี่ชาย)ได้เป็นที่หลวงเทพสุภา กรมการเมืองสุพรรณบุรี
  • นิล (พี่หญิง) เป็นภรรยาหลวงแก้วสัสดี (ดี สุวรรณศร) กรมการเมืองสุพรรณบุรี
  • หมี (พี่ชาย) ได้เป็นที่พระยาสมบัติภิรมย์ กรมการเมืองสงขลา
  • คล้ำ (พี่ชาย) ได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่หนึ่งในตำบลน้ำตก
  • หยา (พี่หญิง) เป็นภรรยาหลวงจ่าเมือง (สิน สังขพิชัย) กรมการเมืองสุพรรณบุรี
               เจ้าพระยายมราชเป็นน้องคนสุดท้องชื่อ ปั้น เมื่อเป็นเด็กอายุได้ 5 ขวบ บิดามารดาพาเจ้าพระยายมราชไปเรียนหนังสือที่วัดประตูสาร ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอท่าพี่เลี้ยง (อำเภอเมืองสุพรรณบุรี) จังหวัดสุพรรณบุรี เรียนอยู่ได้ไม่ถึงปี มีงานทำบุญในสกุล ได้นิมนต์พระใบฎีกาอ่วม วัดหงส์รัตนาราม จังหวัดธนบุรี ไปเทศน์ที่วัดประตูสาร บิดามารดาจึงถวายเด็กชายปั้นให้เป็นศิษย์ เป็นเสมือนใส่กัณฑ์เทศน์ พระใบฎีกาอ่วมจึงพาเด็กชายปั้นไปจากเมืองสุพรรณ เมื่อพ.ศ. 2411 ขณะนั้นเด็กชายปั้นอายุได้ 6 ขวบ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ยินได้ฟังจากเครือญาติของเจ้าพระยายมราช ซึ่งเป็นหลวงยกกระบัตรกรมการเมืองสุพรรณบุรีว่า เจ้าพระยายมราช เป็นบุตรคนสุดท้องมิใคร่มีใครเอาใจใส่นำพานัก บิดามารดาจึงใส่กัณฑ์เทศน์ถวายพระเข้ากรุงเทพฯ ก็มิได้คิดว่าเป็นเด็กชายปั้นจะมาเป็นคนดี ีมีบุญล้ำของเหล่ากอถึงเพียงนี้ ถ้าหากเจ้าพระยายมราชเกิดเป็นลูกหัวปีจะเป็นทายาท ของสกุล บิดามารดาจะถนอมเลี้ยงไว้ที่เมืองสุพรรณจนเติบใหญ่ อย่างมากเจ้าพระยายมราชจะได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน สูงกว่านั้นก็ได้เป็นกรมการ เช่นหลวงเทพสุภาพี่ชาย หรืออย่างดีที่สุดเป็นพระสุนทรสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณเท่านั้น จะไม่ได้เป็นเจ้าพระยายมราชตลอดชีวิต "ข้อที่ท่านเกิดเป็นลูกคนสุดท้องไม่มีใครหวงแหน" ใส่กัณฑ์เทศน์ "ถวายพระพาเข้ากรุงเทพฯนั้น ควรนับว่าบุญบันดาลให้ท่านเข้าสู่ต้นทางที่ จะดำเนินไปจนถึง ได้เป็นรัฐบุรุษวิเศษคนหนึ่งในสมัยของท่าน"
    เจ้าพระยายมราชเป็นลูกศิษย์พระใบฎีกาอ่วมอยู่ 6 ปี พระใบฎีกาอ่วมเอาใจใส่ธุระระวังสั่งสอนผิดกับลูกศิษย์วัดคนอื่นๆ เด็กชายปั้นมีกิริยา มารยาทเรียบร้อยผิดกว่าชาวบ้านนอก ส่อให้เห็นว่าท่านได้รับการอบรมมาจากครูบาอาจารย์ที่ดี เรียนเพียง ก.ข. และนะโมที่วัดประตูสาร จังหวัดสุพรรณบุรีเท่านั้น ความรู้ทั้งหมดได้จากวัดหงส์รัตนารามทั้งสิ้น เพียงอายุได้ 13 ขวบ ก็สามารถเป็นครูสอนคนอื่นได้ นับว่าเป็นอ้จฉริยะคนหนึ่ง ครั้นถึง พ.ศ. 2417 อายุได้ 13 ปี ญาติรับกลับไปโกนจุกที่เมืองสุพรรณ แล้วส่งกลับไปอยู่ที่วัดหงส์รัตนารามกับพระใบฎีกาอ่วมตามเดิม
พ.ศ. 2418 จึงบรรพชาเด็กชายปั้นเป็นสามเณรเล่าเรียนวิชาต่อไปอีก 7 พรรษา คือเรียนเสขิยวัตรกับท่องจำคำไหว้พระสวดมนต์ต์ เรียนหนังสือขอม และหัดเทศน์มหาชาติสำหรับไปเทศน์โปรดญาติโยม เจ้าพระยายมราชเสียงดี อาจารย์ให้เทศน์กัณฑ์มัทรีและให้เรียนภาษามคธ เริ่มด้วยคัมภีร์ "มูล" คือไวยากรณ์ภาษามคธ แล้วเรียนคัมภีร์พระธรรมบท เรียกว่า "ขึ้นคัมภีร์" เพื่อเข้าสอบเปรียญสนามหลวง โดยไปเรียนกับสำนักอาจารย์เพ็ญกับพระยาธรรมปรีชา(บุญ) และสมเด็จพระวันรัต(แดง) วัดสุทัศน์เทพวนาราม ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะอาจารย์สอน ในขณะนั้น
พ.ศ. 2425 เจ้าพระยายมราชอายุได้ 21 ปี จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดหงส์รัตนาราม สมเด็จพระวันรัต(แดง) เป็นพระอุปัชฌาย์ ในปี พ.ศ. 2426 เข้าสอบปริยัติธรรม ณ สนามพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ ทางคณะมหาเถระวิตกกันว่าจะไม่มีใครสามารถสอบได้ วันแรกภิกษุสามเณรเข้าแปล 4 องค์ตกหมด เป็นเช่นนั้นมาหลายวัน จนถึงกำหนดพระปั้นวัดหงส์เข้าแปล วันแรกได้ประโยค 1 ก็ไม่มีใครเห็นว่าแปลกประหลาด เพราะผู้ที่สอบตกมาก่อนก็สอบได้ พอแปลประโยคที่ 2 ก็มีคนเริ่มกล่าวขวัญกันบ้าง ถึงวันแปลประโยคที่ 3 เป็นวันตัดสินว่าจะได้หรือไม่ จึงมีคนไปฟังกันมาก ทั้งภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ พอแปลได้ประโยคที่ 3 พระมหาเถระพากันยิ้มแย้มยินดี เพราะเพิ่งได้เปรียญองค์แรก จึงเรียก "มหาปั้น" ตั้งแต่วันนั้นเป้นมา
ตอนที่เจ้าพระยายมราชเป็นพระภิกษุเรียนปริยัติธรรมกับมหาธรรมปรีชา(บุญ) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นธุระจัดภัตตาหารมาถวายพระเณรที่มาเรียนกับพระยาธรรมปรีชา(บุญ) ทุกวันจนเป็นที่คุ้นเคยกับพระภิกษุปั้น เวลาพระภิกษุปั้นเข้าสอบปริยัติธรรมสนามหลวง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพยังได้ปลอบใจพระภิกษุปั้นว่า อย่าได้หวาดหวั่นและทรงแสดงความยินดีเมื่อสอบได้เปรียญธรรมประโยค จากนั้นพระองค์ก็ไม่ได้พบกับมหาปั้นอีกเลยเป็นเวลาเดือนกว่า
ต่อมาคืนหนึ่งเวลา 20 นาฬิกา พระมหาปั้นไปหาสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่โรงทหารมหาดเล็ก นำต้นไม้ดัดปลูก ในกระถางไปด้วย 1 ต้น บอกว่าจะมาลาสึก และเมื่อสึกแล้วจะขอถวายตัวอยู่กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระองค์ทรงตรัสว่า "เมื่อได้อุตส่าห์พากเพียรเรียนพระไตรปิฎก มาจนได้เป็นเปรียญมีชื่อเสียงแล้ว ไฉนจะสึกตั้งแต่ยังไม่ได้รับพระราชทานพัดยศ" พระมหาปั้นตอบว่า "ท่านสิ้นอาลัยในการเป็นสมณะ ได้ปลงใจตั้งแต่ก่อนเข้าแปลปริยัติ ธรรมว่าจะสึก ที่เข้าแปลด้วยประสงค์จะบำเพ็ญกุศล อุทิศสนองบุญท่าน ผู้เป็นครูอาจารย์ มาแต่หนหลัง นึกว่าพอแปลแล้วจะตกหรือได้ก็จะสึกอยู่นั้นเอง"
วิถีชีวิตของเจ้าพระยายมราชเริ่มเปลี่ยนไปในทางใหม่อีก หากเจ้าพระยายมราชยังคงอุปสมบทอยู่บวรพระพุทธศาสนา อย่างมากก็คงเป็น พระราชาคณะ เท่านั้น นับเป็นก้าวที่สอง ที่จังหวะชีวิตของเจ้าพระยายมราชก้าวเข้าสู่หนทางแห่งความเจริญของชีวิต ทั้งนี้จักต้องมีคู่สร้างคู่สมให้การอุปถัมภ์ค้ำจุนกันมาแต่ชาติปางก่อน โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น ดูจะเป็นสำคัญ
เมื่อลาสิกขาบทแล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพอุปสมบทไปจำวัสสาที่วัดนิเวศธรรมประวัติ ซึ่งเป็นวัดสร้างใหม่ ใกล้กับพระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายปั้นได้ตามไปอยู่กับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ด้วยตลอดพรรษา จึงใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเริ่มเรียนรู้นิสัย ของเจ้าพระยายมราชจนเป็นที่รักใคร่กัน
เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพลาสิกขาบทแล้ว จึงให้นายปั้นถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เมื่อ พ.ศ. 2426 อายุ 22 ปี เป็นครูในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ได้เงินเดือน 16 บาท ต่อมาเลื่อนเป็นครูผู้ช่วย พำนักอยู่กับหม่อมเจ้าหญิงเปลี่ยน และหม่อมราชวงศ์หญิงเขียนที่บ้าน ซึ่งทั้งสองท่านเป็นโยมอุปถากมาตั้งแต่เป็นสามเณร
ต่อมานายปั้นได้ถวายการสอนหนังสือแด่พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 4 พระองค์ ด้วยการชักจูงของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม และพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช โดยจัดห้องเรียนขึ้นต่างหากที่ท้องพระโรงของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้เลื่อนขั้นเงินเดือนเป็น 48 บาท นายปั้นฉลาดในการสอนไม่เหลาะแหละ ประจบลูกศิษย์ แต่ก็ไม่วางตัวจนเกินไป พระเจ้าลูกยาเธอทุกพระองค์ทรงยำเกรง โปรดมหาปั้นสนิทสนมทุกพระองค์ ต่อมาพระพุทธเจ้าหลวงทรงโปรดฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เข้าเป็นลูกศิษย์ด้วยอีกพระองค์หนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งพระเจ้าลูกยาเธอไปศึกษาในประเทศยุโรป เพราะทรงมีพระราชวินิจฉัยเห็นว่าพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 4 พระองค์ เพิ่งเรียนหนังสือไทยได้เพียงปีเดียว เกรงว่าจะลืมเสียหมด จึงโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เลือกครูไปยุโรปกับพระเจ้าลูกยาเธอหนึ่งคน ใน พ.ศ. 2429 ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเลือก "นายปั้น เปรียญ" ไปสอน โดยพระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ให้เป็น ขุนวิจิตรวรสาส์น มีตำแหน่งในกรมอาลักษณ์(แผนกครู)
              สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า ...คิดดูก็ชอบกลอีก ถ้าหากท่านสมัครเข้ารับราชการในกรม มหาดเล็กก็ดี หรือเมื่อสมัคร เป็นครูแล้ว แต่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมิได้ทรงโปรดส่งพระเจ้าลูกยาเธอเข้าโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เหมือนอย่างที่เคย ส่งท่านเข้ามาจากเมืองสุพรรณอีกครั้งหนึ่ง น่าพิศวงอยู่...
เล่ากันว่าเจ้าพระยายมราชชักเงินเดือนของตนเองไปจ้างครูสอนภาษาอังกฤษแก่ตัวเองด้วย เมื่อพระเจ้าลูกยาเธอเสด็จกลับมากรุงเทพฯชั้วคราว เจ้าพระยายมราชตามเสด็จ กลับมาด้วย ถึงกรุงเทพฯต้นปี พ.ศ. 2431 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกชั้นที่ 5 เป็นบำเหน็จครั้งแรก ขณะที่กลับมานั้น หม่อมเจ้าหญิงเปลี่ยนโยม อุปถากสิ้นชีพตักษัยไปแล้ว ยังคงเหลือหม่อมราชวงศ์หญิงเขียน จึงรับไปอยู่ด้วย รับเลี้ยง เป็นอุปถากสนองคุณให้มีความสุขสบาย เมื่อถึงแก่กรรมก็จัดปลงศพให้ด้วย นับเป็นการแสดงกตเวทิตาคุณแก่ผู้มีพระคุณอันเป็นสิ่งที่ ควรสรรเสริญ
        เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เมื่อครั้งเป็นพระวิจิตรวรสาส์น อุปทูตสยาม ณ กรุงลอนดอน และ   
ท่านผู้หญิงตลับ ธิดาพระยาชัยวิชิตสิทธิสาตรา(นาค ณ ป้อมเพชร์)
        ในขณะที่เจ้าพระยายมราชกลับมาเมืองไทย ได้กราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขอให้เป็นแม่สื่อไปสู่ขอลูกสาว พระยาชัยวิชิต ซึ่งขณะนั้นเป็นหลวงวิเศษสาลี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพกระกาดใจเพราะอายุเท่ากัน จึงไปวานให้ พระมารดา ของท่านไปเป็นเถ้าแก่สู่ขอนางสาวตลับ ธิดาคนโตของหลวงวิเศษสาลี ก็ไม่เป็นการขัดข้อง เมื่อแต่งงานแล้วไปอยู่ยุโรปด้วยกัน เพราะพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 4 พระองค์เสด็จกลับไปศึกษาต่อ
         ต่อมาเจ้าพระยายมราชได้เป็นผู้ช่วยเลขานุการในสถานทูตลอนดอน และต่อมาได้เป็นอุปทูตสยาม ณ กรุงลอนดอน เมื่อ พ.ศ. 2436 กลับมาเมืองไทยเป้นข้าหลวงพิเศษ จัดการปกครองจังหวัดสงขลาและพัทลุง เมื่อ พ.ศ. 2439 และในปีนั้นเองได้เป็นสมุหเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราช เมื่อครั้งเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต อันสืบเนื่องมาจากชื่อพระยาสุขุมนัยวินิตนั้น เนื่องมาด้วย พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระราชวินิจฉัยว่าท่านเป็นคนที่มีสติปัญญาอย่างสุขุม สามารถทำการได้ด้วยการผูกน้ำใจคน ไม่ชอบใช้อำนาจ ด้วยอาญา ซึ่งต่อมาในรัชกาลที่ 6 ทรงตั้งพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น เวลานั้นท่านเป็นเจ้าพระยายมราชแล้ว กราบบังคมทูลขอพระราชทานคำ"สุขุม" เป็นนามสกุล
         พ.ศ. 2449 พระยาสุขุมนัยวินิต ย้ายเข้ามาเป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ ในชั้นแรกให้รั้งตำแหน่งเสนาบดีอยู่สองสามเดือนก่อน ว่าจะสามารถเป็นเสนาบดีได้หรือไม่ แล้วจึงทรงแต่งตั้งเป็นเสนาบดีเต็มตามตำแหน่ง กระทรวงโยธาธิการในสมัยนั้นมี 3 กรม คือกรมรถไฟ กรมไปรษณีย์-โทรเลข กรมโยธา เฉพาะกรมรถไฟมีฝรั่งเป็นส่วนมาก และกรมไปรษณีย์ไม่เป็นปัญหาที่จะแก้ไขปรับปรุง แต่กรมโยธากำลังยุ่ง ถึงกับต้องเอาเจ้ากรมออกจากตำแหน่ง เมื่อพระยาสุขุมนัยวินิตเข้าไปเป็นเสนาบดี ต้องแก้ไขเรื่องยุ่งๆของกรมโยธา ขณะนั้นกรมโยธากำลังก่อสร้าง พระราชมณเฑียร ในหมู่พระที่นั่งอัมพรสถานมีโอกาสเข้าเผ้าพระพุทธเจ้าหลวงอยู่เสมอ และรับสั่งมาทำตาม พระราชประสงค์อยู่เนืองๆ พระพุทธเจ้าหลวงทรง หยั่งเห็นคุณอันวิเศษของพระยาสุขุมนัยวินิตยิ่งขึ้น งานใดที่รับสั่งพระยาสุขุมนัยวินิตพยายามทำการนั้นให้สำเร็จดัง พระราชประสงค์ จึงเป็นเหตุให้ทรงพอ พระทัยใช้สอยเจ้าพระยายมราชตั้งแต่นั้นมา เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป ทรงมีพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ ฝากฝังให้เจ้าพระยายมราช เป็นธุระ ช่วยดูแลพระราชฐานด้วย
          ต่อมาอีก 2 ปี พ.ศ. 2450 ย้ายจากกระทรวงโยธาธิการมาเป็นเสนาบดีกระทรวงนครบาล แต่พระพุทธเจ้าหลวงยังคงให้อำนวยการสร้าง พระราชวังดุสิตต่อไปตามเดิม ทั้งโปรดให้โอนกรมสุขาภิบาลซึ่งอยู่ในกระทรวงเกษตราธิการมาขึ้นกับกระทรวงนครบาลด้วย พระยาสุขุมนัยวินิต พยายามศึกษาหน้าที่ราชการต่างๆและได้สมาคมคุ้ยเคย กับข้าราชการในกระทรวงนครบาลแล้ว เริ่มดำเนินงานจัดการปกครองท้องที่ โดยใช้วิธ ีปกครองเมืองต่างๆในมณฑลกรุงเทพฯ อย่างเดียวกับหัวเมือง ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย พอดีเกิดเรื่องชาวจีนในกรุงเทพฯปิดร้านค้าขาย สอบถามได้ความว่า ไม่มีความเดือดร้อนอันใด เป็นเพียงแต่จีนคนหนึ่งทิ้งใบปลิวให้ปิดร้าน จึงจำต้องปิดหมายความถึงถูกบีบคั้น จะไปร้องเรียน ก็ไม่ถึงจึงปิดร้านเพื่อ ให้ทางราชการมาระงับทุกข์ พระยาสุขุมนัยวินิตจึงปรึกษากับกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ตกลงใช้อุบายให้ทหารม้า 2 กองร้อยแยกเป็นหลายแถว เดินแถวผ่านไปตามถนนเจริญกรุงถึงบางรัก ซึ่งมีคนจีนอยู่มากคล้ายกับตรวจตรา ไม่มีใครรู้ว่าทหารม้าจะมาทำอะไร พอรุ่งขึ้นพระยาสุขุมนัยวินิตให้นายพลตะเวนสั่ง ให้จีนเปิดร้านเหมือนอย่างเดิม ทุกร้านยอมเปิดร้านกันจนหมด
ในปี พ.ศ. 2451 นี้เอง ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุขุมนัยวินิต เป็นที่เจ้าพระยามีสมญาจารึกในหิรัญบัตรว่า เจ้าพระยายมราช ชาตเสนางคนรินทร มหินทราธิบดี ศรีวิชัย ราชมไหสวรรยบริรักษ์ ภูมิพิทักษ์โลกาธิกรณ์ สิงหพาหเทพยมุรธาธร ราชธานีมหาสมุหประธาน สุขุมนัยบริหารเอนกยรวมาคม สรรโพดมสุทธิศุขวัฒนาการ มหานคราภิบาลอรรคมาตยาธิบดี อภันพิริยปรากรมพาหุคชนาม ถือศักดินา 10,000
เจ้าพระยายมราชรับราชการสนองพระเดชพระคุณตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เรื่อยมาถึงรัชการที่ 6-7 จนกระทั่งรัชกาลที่ 8 ได้ดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2477 ร่วมกับพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภากับกรมหมื่นอนุวัติจาตุรนต์ พ.ศ. 2478 ดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมกับพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา และเจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธิน
เจ้าพระยายมราช รับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความวิริยะอุตสาหะอันแรงกล้า แม้จะป่วยไข้แต่พอทำงานได้ก็จะทำด้วยความมานะอดทน จนกระทั่งล้มเจ็บ อย่างหนักครั้งใหญ่ อันเป็นครั้งสุดท้ายในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลยังประทับอยู่ในพระนคร และเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2481 เวลา 15.00 น. เจ้าพระยายมราช ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบด้วยความเศร้าสลดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง โปรดเกล้าฯให้คณะผู้สำเร็จราชการ เสด็จไปแทนพระองค์ ในการพระราชทานน้ำอาบศพ ณ บ้านศาลาแดง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานลองกุดั่นน้อย ประกอบพร้อมทั้งเครื่องเกียรติยศศพให้ ทางราชการประกาศให้ข้าราชการ ไว้ทุกข์ทั่วราชอาณาจักร มีกำหนด 15 วัน ให้สถานที่ราชการลดธงกึ่งเสา 3 วัน บรรดาสถานทูตและกงสุลต่างๆ ได้ให้เกียรติลดธงกึ่งเสา 3 วันเช่นกันและพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส
                                                                                            By      แพร และเพื่อนๆที่ช่วยค้นหาข้อมูล
ฝากขอบคุณ :  ที่สำคัญที่สุดขอขอบคุณแหล่งข้อมูลต่างที่ให้ความเอื้อเฟื้อและหากมีข้อมูลส่วนไหนผิดพลาดจากข้อเท็จต้องขออภัยด้วยนะค่ะ !

ฯพณฯพลเอก เปรม ตินสูลานนท์


ฯพณฯพลเอก เปรม ตินสูลานนท์
 
พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก เปรม ติณสูลานนท์ (26 สิงหาคม พ.ศ. 2463 — ) ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนที่ 16 ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย ระหว่างปี พ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ. 2531และเป็นนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของรัฐสภาที่ครองอำนาจยาวนานที่สุด ทั้งนี้เพราะกฎหมายไทยในสมัยนั้นไม่ได้กำหนดให้รัฐสภาต้องเลือกนายกรัฐมนตรี จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
บุคลิกส่วนตัวพลเอกเปรมเป็นคนพูดน้อย ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จะให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนน้อยมาก จนถูกหนังสือพิมพ์ในขณะนั้นเรียกขานว่า เตมีย์ใบ้  และได้รับอีกฉายาหนึ่งว่า นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากเหตุการณ์กบฏเมษาฮาวายและกบฏ 9 กันยา
หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกเปรม เป็นองคมนตรี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จากนั้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ และในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2541 มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี
ประวัติ
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นบุตรชายคนรองสุดท้อง จากจำนวน 8 คน ของรองอำมาตย์โทหลวงวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ต้นตระกูลติณสูลานนท์ กับนางวินิจทัณฑกรรม (ออด ติณสูลานนท์) สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา สงขลา ในหมายเลขประจำตัว 167 และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2480 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเทคนิคทหารบก รุ่นที่ 5 สังกัดเหล่าทหารม้า (โรงเรียนนี้ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2477 ต่อมาคือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า)
พลเอกเปรม จบการศึกษาหลักสูตรพิเศษโรงเรียนเทคนิคทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2484 และเข้ารบในสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่ ปอยเปต กัมพูชา จากนั้นเข้าสังกัดกองทัพพายัพ ภายใต้การบังคับบัญชาของหลวงเสรีเริงฤทธิ์ ทำการรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่าง พ.ศ. 2485-2488 ที่เชียงตุง
ภายหลังสงคราม พลเอกเปรมรับราชการอยู่ที่อุตรดิตถ์ และได้รับทุนไปศึกษาต่อที่โรงเรียนยานเกราะของกองทัพบกสหรัฐ ที่ ฟอร์ตน็อกซ์ มลรัฐเคนตักกี พร้อมกับพลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ และพลเอกวิจิตร สุขมาก เมื่อ พ.ศ. 2495 แล้วกลับมารับตำแหน่งรองผู้บัญชาการโรงเรียนยานเกราะ ต่อมามีการจัดตั้งโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า ที่จังหวัดสระบุรี
พลเอกเปรมได้รับพระบรมราชโองการเป็นผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า ยศพลตรี เมื่อ พ.ศ. 2511 ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้านี้ ท่านมักเรียกแทนตัวเองต่อผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าว่า "ป๋า" และเรียกผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าอย่างเอ็นดูและเป็นกันเองว่า "ลูก" ที่จนเป็นที่มาของคำว่าป๋า หรือ ป๋าเปรม และคนสนิทของท่านมักถูกเรียกว่า ลูกป๋า และเรียกติดปากกันมาจนถึงปัจจุบัน
พลเอกเปรม ย้ายไปเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ในปี พ.ศ. 2516 และเลื่อนเป็นแม่ทัพภาคทึ่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสานเมื่อ พ.ศ. 2517 ได้เลื่อนยศเป็นพลเอก ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2520 และเลื่อนเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ. 2521
ตำแหน่งทางการเมือง
ในปี พ.ศ. 2502 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกเปรมได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ และวุฒิสมาชิก ช่วง พ.ศ. 2511 - 2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร
พลเอกเปรมเข้าร่วมการรัฐประหารในประเทศไทย 2 ครั้ง ซึ่งนำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ล้มรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 ล้มรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร
พลเอกเปรม รับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องในรัฐบาลนั้น ในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควบคู่กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
ในช่วงนั้น พลเอกเปรมได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย หลังจากพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 สภาผู้แทนราษฎรทำการหยั่งเสียงเพื่อหาตัวผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเลือกพลเอกเปรม โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของไทย
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
พล.อ.เปรม ขณะปฏิบัติภารกิจเยือนต่างประเทศเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สมัยที่ 1
คณะรัฐมนตรี คณะที่ 42: 3 มีนาคม 2523 - 29 เมษายน 2526 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 19 มีนาคม 2526 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบกับการเสนอให้ยืดอายุการใช้บทเฉพาะกาลของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 มีการเลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526
สมัยที่ 2
คณะรัฐมนตรี คณะที่ 43: 30 เมษายน 2526 - 4 สิงหาคม 2529 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 เนื่องจากรัฐบาลแพ้เสียงในสภา ในการออกพระราชกำหนดการขนส่งทางบก มีการเลือกตั้งในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529
สมัยที่ 3
คณะรัฐมนตรี คณะที่ 44: 5 สิงหาคม 2529 - 3 สิงหาคม 2531 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 29 เมษายน 2531 เนื่องจากเกิดปัญหาขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์ เกิดกลุ่ม 10 มกรา ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างเป็นเอกเทศภายในพรรค กลุ่ม 10 มกรา นี้ลงมติไม่สนับสนุนพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ที่รัฐบาลเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา จนทำให้พระราชบัญญัติไม่ผ่านการเห็นชอบ พรรคประชาธิปัตย์แสดงความรับผิดชอบโดยการถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พลเอกเปรมจึงประกาศยุบสภา มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531
ในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกเปรม ขณะที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง มีกระแสการคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 4 จากกลุ่มนักวิชาการ
ภายหลังการเลือกตั้ง ในคืนวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 หัวหน้าพรรคการเมืองที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคชาติไทยเป็นแกนนำ ได้เข้าพบพลเอกเปรมที่บ้านพัก เพื่อเชิญให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 4 แต่พลเอกเปรมปฏิเสธ ต่อมาในวันที่ 4 สิงหาคม 2531 จึงได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17
หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกเปรม เป็นองคมนตรี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จากนั้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ และในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2541 มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี
ผลงานของรัฐบาลเปรม ติณสูลานนท์
บทบาทในวิกฤตการณ์การเมืองและการรัฐประหาร พ.ศ. 2549
หลังการทำรัฐประหาร พ.ศ. 2549 มีนักวิชาการกล่าวหาพลเอกเปรมว่ามีความเกี่ยวข้องกับ วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 ที่นำไปสู่ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549[4] ซึ่งในเวลาพลบค่ำวันที่ 19 กันยายน ช่วงเดียวกับที่กำลังทหารหน่วยรบพิเศษจาก จ.ลพบุรี ได้เคลื่อนกำลังเข้ากรุงเทพฯ พลเอกเปรม ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า พลเอกเปรมเป็นผู้สั่งการให้ทำรัฐประหารโดยนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาร์เทเวศร์
ในเวลาต่อมา ยังเป็นที่กล่าวหาอีกว่า พลเอกเปรม อาจมีบทบาทสำคัญ ในการเชิญ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตลูกน้อง มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมไปถึง การแต่งตั้ง คณะรัฐมนตรี และ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ อีกด้วย จนกระทั่ง นักวิจารณ์ บางคน ถึงกับกล่าวว่า สภาฯ ชุดนี้ เต็มไปด้วย "ลูกป๋า"
ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า พลเอกเปรมเป็นบุคคลที่มีบทบาททางการเมือง ในช่วงวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 และมีบทวิเคราะห์จากสำนักข่าว XFN-ASIA ระบุในเว็บไซต์ นิตยสารฟอร์บ ว่า พลเอกเปรมเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองไทย พร้อมทั้งได้สนับสนุนให้ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน จากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอย่างไรก็ตามรัฐบาลคณะทหาร ได้อ้างว่า พลเอกเปรมไม่เคยมีบทบาททางการเมือง
วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 นปก. นับพันคน รวมตัวประท้วงหน้าบ้านของพลเอกเปรม เพื่อเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี เนื่องจากเชื่อว่ามีบทบาททางการเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุม มีการยิงแก๊สพริกไทยแล้วล้อมรถบรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงของแกนนำ ผู้ชุมนุมขว้างปาขวดพลาสติกและขวดแก้วใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เกิดการปะทะกันชุลมุนวุ่นวาย เจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บหลายคน ด้านแยกสี่เสาเทเวศร์ กลุ่ม นปก.ส่วนหนึ่งทุบทำลายซุ้มตำรวจจราจรและทุบรถส่องไฟและกระจายเสียงของตำรวจที่จอดไว้ รวมทั้งปล่อยลมยางรถยนต์[ ในวันต่อมา พลเอกสนธิ พลเอกสุรยุทธ และคณะรัฐมนตรี ได้ไปเยี่ยมพลเอกเปรม เพื่อขอโทษที่ยอมให้มีการประท้วง
ชีวิตส่วนตัว

พล.อ.เปรม ในเครื่องแบบนายพลเรือเอกสีขาว
พลเอกเปรม ชื่นชอบดูการแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะกีฬามวยและฟุตบอล มักเปิดโอกาสให้นักกีฬาเข้าพบเพื่อคารวะ และให้กำลังใจ ก่อนจะเดินทางไปแข่งขันในต่างประเทศอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังชื่นชอบการร้องเพลง ระยะหลังได้ฝึกหัดเล่นเปียโนกับ ณัฐ ยนตรรักษ์ และประพันธ์เพลงเป็นงานอดิเรก พลเอกเปรมมีผลงานเพลงบันทึกเสียงจำหน่าย บรรเลงดนตรีโดย กองดุริยางค์ทหารบก
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดต่าง ๆ ดังนี้
ตำแหน่งทางทหาร
นอกจากยศ พลเอก แล้ว พลเอกเปรม ยังถือว่าเป็นบุคคลเดียวในปัจจุบันที่มิใช่พระบรมวงศานุวงศ์ ที่ได้
รับยศ พลเรือเอก ของกองทัพเรือ และ พลอากาศเอก ของกองทัพอากาศ ด้วย จากการพระราชทานโปรดเกล้าฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2529 ในระหว่างที่ พลเอกเปรม ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ (แต่โดยมากจะนิยมใช้ พลเอก มากกว่า)